และดูแถวซิค่ะ นี่คือแถวของคนเดินทางไปอุดรอย่างเดียวนะคะ เที่ยวบินอื่น สายการบินอื่นไม่เกี่ยว ยาวมาก เราไปถึงก่อนตีห้า ตามตารางเครื่องออก หกโมงเช้า แต่ตีห้าครึ่งยังติดอยู่ที่แถวกันทั้งหมด คนเริ่มโวยวาย สุดท้ายนางบอกว่าถ้าเช็คคนไม่หมดยังไม่ออก เวลาออกจริงเลยเวลาไปชั่วโมงเกือบสองชั่วโมงค่ะ คือ 7 โมงกว่าๆ เราก็ต้องโทรบอกรถตู้ให้รอ และตารางเดินทางก็ต้องปรับเปลี่ยน เหนื่อยกันตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทาง 555 คงเข็ดนกแอร์ไปอีกนาน แต่จริงๆก็ไม่ได้บินสายการบินนางซักเท่าไร เพราะต้องมาขึ้นดอนเมือง ไกลเกิน มาถึงคนขับรถตู้มารับพร้อมกับทำบัตรผ่านแดนให้เราเรียบร้อยแล้ว เราแล่นจากอุดรไปหนองคาย 1 ชั่วโมงข้ามน้ำโขงไปถือว่าสิ้นสุดแดนไทยเข้าแดนลาว
เราสามารถใช้บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางผ่านแดนได้ ถ้าใช้บัตรประชาชนต้องทำใบผ่านและต้องลงจากรถมาโชว์ตัว ยืนหมุนๆๆให้เจ้าหน้าที่ดู 555 ล้อเล่นค่ะ แค่เดินลงมาให้เจ้าหน้าที่ดูเฉยๆว่ามีตัวตนและที่สำคัญคือ ไปได้แค่เวียงจันทร์เท่านั้น ไปเมืองอื่นไม่ได้ ถ้าใครอยากไปมากกว่าเวียงจันทร์ ให้ใช้หนังสือเดินทางนะคะ หน้าตาบัตรผ่านเป็นแบบนี้
ระหว่างทำใบผ่าน เราก็เดินไปแลกเงินกีบไว้ใช้ เพราะที่ลาว เราใช้เงินไทยได้ทุกที่แต่นางคิดอัตราแลกเปลี่ยนแพงมากค่ะ คิดไปงงไปทุกที่ พอมานั่งคิดเอง อ้าว ทุนหายกำไรหด บวกเพิ่มไปเยอะมาก เราควรใช้เงินกีบ โดยเฉพาะท่านที่ต้องการเที่ยวกลางคืน อัตราเงินที่คิดจะแพงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น ยอมงงนับเงินกีบเถอะค่ะ ไม่งั้นโดนฟันศีรษะแบะเลย นี่เราแลกแค่ห้าพันบาท ออกมาเป็นหนึ่งล้านกว่ากีบ หยิบใช้งงๆไป
พอเสร็จทุกสิ่งก็ผ่านแดนไปต้องรับตัวไกด์สามลาวมาด้วย 1 คน กฏหมายลาวบังคับว่าเราต้องจ้างไกด์ลาวติดรถ 600 บาทต่อวัน ซึ่งเราว่าไทยควรจะทำแบบนี้เพื่อเป็นรายได้ให้คนไทยบ้าง แต่ที่เราไม่ชอบคือ นางพาไปขายของ เราอยากมา slow life เที่ยวชิลๆ กินอะไรอร่อย นางก็พาไปขายบัวหิมะ สมุนไพร ไป วัด เสร็จ แวะไปขายของระทีก พาไปวัดเสร็จไปขายเครื่องเงินอีกแระ พอเราแวะทานกาแฟ ขนม นางว่าเอาไปกินบนรถได้มั๊ย ขอจ่ายอีก 600 เตะนางออกจากรถได้มั๊ย เราไปกันเองได้ค่ะ โอ๊ยยยย ปวดกระโหลกมาก ทุกคนลงจากรถไปฟังคนขายบัวหิมะขายของด้วยท้องที่หิว เพราะผจญพิษนกแอร์มา ข้าวเช้าไม่มีตกถึงท้อง นึกว่ามาถึงจะได้ทานเลย ลวงเราไปขายของ ลาวหนอ!!! แต่ถามว่าดีต่อประเทศมั๊ย ใช่ มันน่าจะทำเงินให้ประเทศ เราเชียร์ให้ไทยทำแบบนี้บ้าง พาไปขายโน้นนี้สินค้าดีๆบวกกับการนำเที่ยว จบจากการขายของค่อยพาเราไปกินได้ซักที เราไปร้านแหนมเนืองร้านดังร้านนี้ แหนมเนืองอร่อยมาก ขอบอก เราทานกันจนแน่นจุกทีเดียว
ยังมีจิ้มจุ่มหม้อร้อนด้วยนะ แต่รสชาติมันจืดๆ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร น้ำจิ้มที่นี้เหมือนจะใส่กะปิหรือปลาร้าทุกอย่างเลย ใครไม่ชอบปลาร้า ทำใจไว้เลย เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา น้ำดื่มและเบียร์ที่นี้เขียนคล้ายๆแบบนี้ เขยลาว ค่อนข้างแพร่หลาย อ่านว่า เบียร์ลาวนะคะ คนไทยมาที่นี้อ่าน เขยลาวเป็นแถวเลย ตอนแรกก็นึกว่าคนลาวมีลูกเขยคนไทย 555 เบียร์แอลกอออล์เท่ากับเบียร์ไทยเลย จบ อิ่มท้องก็ไปดูวัด เที่ยวเวียงจันทร์ส่วนใหญ่คือเที่ยววัด วัดแรกคือวัดศรีเมือง วัดนี้เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ ขอได้ทุกอย่าง ยกเว้นห้ามขอเรื่องความรักนะคะ
จบจากนี้จะไปประตูชัยกัน เป็นวงเวียงทางร่วมของถนนหลายๆสาย ทางลาวสร้างเลียนแบบ Champ Elysee ของฝรั่งเศส ก็ดูสวยงามดีแต่ขาดการดุแลไปซักหน่อย
ระหว่างทางไป เราเหลือบไปเห็นขนมปัง baquttet มันเป็นร้านของทานที่ลาวรับวัฒนธรรมฝรั่งเศสมาแต่ปรับให้เข้ากับลาวเอง มาแแล้วต้องลองนะคะ ทางลาวเรียกว่าข้าวจี่ ข้างในก็มีหมูยอ หูหมูแก้ว ผักสารพัด หมูและราดซอสเผ็ดกับแบบไม่เผ็ด ทานดูแล้วก็อร่อยดีนะคะ ร้านแบบนี้มีอยู่ทุกแห่งในเวียงจันทร์เลยเหมือนร้านส้มตำบ้านเราเลย
ให้เค้าหั่นเป็นชิ้นๆมาให้จะได้ทานสะดวกหน่อย นางรัดนางยางมาให้ด้วย 555
จบจากนี้นางพาไปขายของอีกแล้ว เป็นกระเป๋าลาวแท้ แต่เราไม่สนใจ แต่ไปสองกาแฟดาว 3 in 1 มาแทน นางมีสีแดง สีเขียว และสีทอง สีแดงรสจะอ่อนๆ เขียวก็กลางๆ และทองจะเข้มข้น เราลองหมดทุกสีแล้ว ตอนแรกว่าทองอร่อยแต่พอทานซักพัก มันเข้มและหวานไป เลยมาสรุปที่สีเขียวอร่อยสุด ใครมาก็ซื้อเป็นของฝากได้ ที่ duty free ตอนผ่านแดนขากลับมีขายแพ๊คละร้อยเอง ถ้าซื้อเองที่ local อาจจะได้ถูกกว่านี้ก็ได้ แต่ร้อยนึงก็ซื้อเป็นของฝากได้สบายๆแล้ว
จบจากนี้แวะไปวัดหอพระแก้ว แต่บอกไกด์สาวว่า เหตุผลหลักๆที่มาลาวเพราะ อยากมาทานกาแฟ ในใจเรามีร้าน Joma และ ร้านดาว นางว่าร้านดาว คนลาวไม่ค่อยนิยม มีแต่คนไทยที่ชอบมาขนซื้อ น่าจะเราะมีโฆษณามาฉายในไทย คนลาวจะนิยมกาแฟสีนุ (Sinoux) เราบอก ทางผ่านมี Joma ขอแวะก่อน นางเลยแวะให้ไปลองทานดู ซึ่งกาแฟก็อร่อย เค้กก็อร่อยตามลิ้นคนไทยจริงๆ
ทานเสร็จไปหอพระแก้วต่อได้ เป็นพิพิธภัณฑ์แต่บังเอิญปิดซ่อมแซม เลยไม่ได้เข้าดู เลยต่อไปวัดสีสะเกตเลย เราว่าวัดนี้สวยงามกว่าทุกวัด
หน้าตาไกด์สาวประจำกลุ่มเรา
ด้านนอกวัด
จบจากนี้ก็ขอเข้าโรงแรมไปเช็คอิน เย็นๆก็ออกมาเดินตลาดโต้รุ่งริมน้ำโขง ตลาดต่อนข่างใหญ่ เหมือนตลาดนัดรถไฟบ้านเราเลย
ทานกันเสร็จลูกน้องไปซิ่งกันต่อแต่เราไปนอนดีกว่า ถึงวัยนอนเยอะ 555 เช้ามาเป็นวันกลับแล้ว เราไปทานเฝ่อร้านดังกันก่อนเลย ชื่อร้าน เฝ่อแซ่บ คนเต็มร้านเลยค่ะ
รสชาติออกจืดตามเคย ไม่อร่อยอย่างที่คิดแต่คนเต็มร้านเลย คงอร่อยของเค้ามั่ง 555 จบจากนี้เวลาวันนี้เหลือเยอะมาก คนรถเลยแนะนำว่าให้ล่องเรือฆ่าเวลา เออ! ไปก็ไปดีกว่าไปถึงสนามบินเร็ว ไม่รู้จะทำอะไร ล่องก็ล่อง
มีอาหารเสริฟ์บนเรือ เราอิ่มมากแล้วแต่ก็อ่ะน่ะ มาแล้วก็ต้องกิน คราวนี้เน้นกับแม่ครัวว่าขอหารรสชาติ หวานนำตามด้วยเค็มเผ็ด โอเค ออกมาอร่อยทุกจาน ถ้าไม่บอกคงมาเค็มจืดตามฉบับอีก ไม่ไหวแล้ว น้ำหนักลดฮวบ 555
จริงๆก็ล่องไปมาแค่แม่น้ำสั้นๆ ไม่มีอะไรมาก วิวไม่ได้ขนาดนั้นเพียงแต่ฆ่าเวลาเท่านั้นเอง จบจากล่องเรือก็นั่งรถข้ามจากเวียงจันทร์มาอุดร ต้องผ่านด่านมี duty free ขายด้วย เค้าว่ากันว่าให้ซื้อบุหรี่ เพราะถูกกว่าฝั่งไทยมาก แต่เราไม่สูบและไม่สนับสนุนให้คนสูบเลยไม่ซื้อ เหล้าไวน์ก็ถูกกว่า แต่บางคนเตือนว่าเหล้าไวน์ลาวมีของปลอมเยอะ ระวังไว้หน่อย วุ๊ยยย! ไม่ได้ซื้ออีก ขนกันมาแต่กาแฟ ที่duty free มีร้านกาแฟดาวให้นั่งทานด้วยค่ะ
ข้ามสะพานจากฝั่งลาวมา แหม คลื่นมือถือฝั่งไทยมาทันที 555 เราไปแวะตลาดฝั่งอุดรนะคะ มีร้านอาหารเวียดนามที่โด่งดังสองร้าน ร้านนึงชื่อ วีที ซึ่งคราวที่แล้ว เรามาแล้ว คราวนี่ขอลองร้านชื่อ แดง แหนมเนืองอร่อยจริงสมคำล่ำลือ
ช๊อปของกินกันเต็มกระเป๋าแล้วก็เดินทางต่อไป ไปไหว้พระกันที่วัดพระใส เสร็จก็ไปสนามบิน นั่งทานกาแฟรอเครื่องไปเรื่อย นานพอควรเพราะเราบินนกแอร์และไม่รู้ว่าขากลับจะมีปัญหาเหมือนขามามัียเลยเผื่อเวลาเยอะหน่อย ปรากฏว่าขากลับสบายๆ เลยมีเวลามานั่งเคว้งอยุ่สนามบินนานเลย เป็นอันจบการเดินทางคราวนี้นะคะ ไว้ทริปหน้าเจอกันใหม่