เรามาทริปกลางคืนมาถึงโตเกียวตอนเช้า โชคดีเครื่องรุ่นนี้ปรับเบาะนอนราบได้ ไม่งั้นเราคงไม่ได้หลับทั้งคืนแน่ มาถึงแลัวจะรอเช็คอินโรงแรม โรงแรมก็น่ารักให้เช็คอินได้ตั้งแต่ 9:30 เช้าเลย ให้เรารอห้องครึ่งชั่วโมงเลยไปถนนกินซ่าหาไรดูก่อน โตเกียวตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ยังพอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นบ้างประปราย
เจอร้านกาแฟเก๋ๆชื่อ Knock knot's Coffee house ก็ต้องลองใช่มั๊ยค่ะ
ช๊อคโกแลตร้อนที่นี้แปลกดีค่ะ ชื่อ Chilly chocolate เลยต้องลองซะหน่อย จริงๆคือช๊อคโกแลตร้อนปกตื มีพริกแห้งลอยมาอันนึงเก๋ๆ ไม่ได้เผ็ดอะไร 555 โดนหลอกซะแระ
เสร็จก็เดินกลับโรงแรม โรงแรมเราชื่อ เพนนินซูล่า ตรงกินซ่า เราจองห้องสูทค่อนข้างใหญ่ มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องแต่งตัว ห้องน้ำสองห้อง ครบพร้อมด้วยระบบไฟฟ้าควบคุมทุกอย่างในห้อง ระบบไฟ ม่าน ทีวี วิทยุ มีบริการช่องหย่อนทำความสะอาดรองเท้าให้ฟรีด้วน และมีชุดทำกาแฟใช้กาแฟ Lavazza ซึ่งอันนี้เราชอบมาก มีผลไม้มาเปลี่ยนให้ทานทุกวันและน้ำผลไม้สดกับขนมญี่ปุ่น โรงแรมนี้อยู่กลางกินซ่าเลย ตรงถนนมารุโนชิ ซึ่งเป็นถนนสวยๆ และมีร้านหรูตลอดทั้งเส้น
วิวห้องเป็นวิวในเมือง
เราคิดว่าสำหรับเรา โรงแรมที่เราเลือกจะพักมีที่นี้และที่โรงแรมอิมพีเรียล โตเกียว ค่อนข้างสะดวก พนักงานสุภาพ ใกล้กับทุกสิ่งแต่อาจเดินไปโรงไฟใต้ดินไกลหน่อยซึ่งเราโอเคเพราะบางที่ก็ใช้แท๊กซี่เอา ไม่ได้นั่งรถใต้ดินตลอด เดินๆอากาศเย็นสบาย แป๊บเดียวถึง
พักพอหายหนื่อยแล้ว เราออกไปหาอะไรทานกัน ข้าวมื้อไหนไม่ทราบ งงไปหมดแล้ว 555 เราไปแถวกินซ่า ตึกชื่อ Ginza Core มีร้านปลาดิบ ชาบูในนั้น เราเลือกต่อคิวทานปลาดิบกันค่ะ ที่โตเกียว อะไรๆก็ต้องต่อคิวค่ะ ร้านชื่ออะไรไม่ทราบเพราะไม่มีภาษาอังกฤษแต่คิวยาวมาก นั่งรอกันนานพอควร
ทานกันอิ่มแล้วเดินก็หากาแฟ ขนมทานกัน ร้านที่จะไปเป็นร้านประจำของเรา ต้องแวะทุกครั้งที่มาญี่ปุ่นเพราะเราชอบกาแฟที่นี้ที่ใส่นมข้น หาทานยากในญี่ปุ่นและขนมก็อร่อยเช่นกัน ร้านชื่อ Choco Cro อยู่ตรงซอยหลังห้าง Mitsukoshi สังเกตุก่อนถึงซอยมีร้าน L'Occitane แต่ตอนนี้สาขานางมีเยอะแยะไปหมด หลายปีก่อนยังไม่เห็นมีสาขามากขนาดนี้ ตึกแถวโรงแรมเราก็มี
เมนูประจำของเราคือ Iced Vietnamese Coffee ทานกับ chocolate croissant สมัยมาโตเกียวใหม่ๆ เราประทับใจครัวซองค์ร้านนี้มากเพราะสด อบใหม่ๆ ช๊อคโกแลตอร่อย แต่กาลเวลาผ่านไป ความเป็นธุรกิจทำให้เจ้าขนมอันนี้ลดความอร่อยไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็เลยเป็นครัวซองค์ที่เคยอร่อยมากเจ้านึง เราก็ทานเพราะความประทับใจครั้งก่อนนั้นเอง
คราวนี้มากับเพื่อนทำให้ไม่ได้เดินตะล่อนไปดูร้านให้ทั่วกินซ่า เพราะเจ้าหล่อนไม่ยอมเดิน จะนั่งแท๊กซี่ท่าเดียว เฮ้อ! นั่งมาในเครื่องหกชั่วโมงแล้วยังไม่พอเนอะ เลยนั่งแท๊กซี่จากกินซ่ามาชินจูกุ เป้าหมายคือร้านปูที่โด่งดัง แต่ขอแวะสวนก่อน สวนสวยๆชื่อ Shinjuku Gyeon รายการนี้เพื่อนขอมาก็ไป สวนสวยจริงๆ ต้องเสียค่าผ่านประตูด้วยนะคะ ยังพอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็น ถ้ามาตอนเต็มๆคงสวยมากน่าดู
เดินเสร็จเราก็คิดจะไปจองโต๊ะร้านปูก่อน เราบอกตัวเองเลยว่าจะไม่นั่งแท๊กซี่อีกแน่นอนเพราะมาในเมือง เสน่ห์ของการมาเที่ยวคือการเดินดูเมือง ไม่ใช่การมานั่งกำหนดจุดห้างล่วงหน้าโดยแผนที่แล้วเรียกแท๊กซี่ไปยังจุดนั้น มันหมดเสน่ห์และหมดอารมณ์เดินทางทันที ใครรู้ตัวว่าชอบเดินทางแบบนั้นกรุณาเช็คผู้ร่วมเดินทางหรือเลือกเดินทางกับผู้สูงอายุเท่านั้นนะ การเดินทางร่วมกันมันต้องคิดถึงใจผู้อื่นด้วยนะจ๊ะ
ได้คิวโต๊ะตอนทุ่มนึง เลยเดินไปซื้อของที่ห้าง ทาคาชิยาม่า และระหว่างทางผ่านร้านชาฝรั่งเศสชื่อ Marriage Freres ก็แวะทานซะหน่อย หลังจากนั้นก็ไปร้านปู คานิโดราคุ ร้านนี้เป็นร้านดังและปูก็อร่อยจริงๆทุกครั้งไม่มีผิดหวัง แต่ขอแนะนำให้สั่งปูเล็ก ถ้าปูกล้ามใหญ่ รสชาติไม่เข้มข้น กล้ามเล็กกลับอร่อยกว่าค่ะ
เมนูมีให้เลือกหลายเซ็ต ดูอลังการแต่มันไม่ได้เยอะย่างรูปหรอกค่ะ สั่งๆมาเถอะ หมดแน่นอน 555 เริ่มต้นด้วย sashimi
ปูปิ้งๆ
ปูนึ่ง
ชาบูปู
ใขปู อันนี้สำหรับเรา ไม่ไหวค่ะ แต่คนชอบก็ชอบเอาจริงๆ ซัดหมด 555
ตามด้วยของหวาน โมจิ
และไอศกรีม
ทานเสร็จก็กลับโรงแรม หัวตัวเสื้อผ้ามีกลิ่นติดไปหลายวันเลย 555 ใครกลัวกลิ่นให้มาทานวันสุดท้ายก่อนกลับนะคะ วันรุ่งขึ้นเราวางแผนจะไป Gotemba Outlet กัน เลยทำการจองที่นั่งรถบัสออนไลน์ไป เราเลือกได้ว่าจะไปทางรถไฟหรือบัส ถ้าไปทางรถไฟ มันจะไปไม่ถึงต้องนั่งรถต่อมาอีกทอด เราเลยเลือกไปบัสที่วิ่งตรงมาจอดหน้า outlet เลย ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง ขึ้นรถจาก Tokyo station เราต้องมารับบัตรก่อนเวลาขึ้นรถประมาณชั่วโมงครึ่ง เลยมีเวลานั่งทานอาหารเข้าที่สถานีก่อน ร้านรวงเยอะแยะไปหมด เราเลือกร้านราเมงนี้เพราะมันเปิดอยู่ร้านเดียวตอนเช้า 555 ร้านนี้เราต้องไปกดตู้เอาเหมือนร้านราเมงทุกๆร้าน มีน้ำซุปให้เติมเองเผื่อเค็มเกินไปซึ่งก็เค็มมากจริงๆ
ที่นี้เก๋ตรงที่คนต้องต่อคิวและมีระยะเวลาคร่าวๆบอกด้วยว่าต้องรอนานเท่าไร
คิวที่ญี่ปุ่นนี้ ถ้าเราเห็นปลายแถว อย่าเพิ่งชะล่าใจว่านั้นคือปลายแถวจริงๆ เพราะมันอาจซุกแถวอยู่อีกมุมนึง คือต่อไปอีกตรงโน้น คนขายจะชี้ให้เราเองว่าคุณลัดคิวเค้า ปลายจริงๆอยู้โน้นนนนนนนนน 555 ทานอิ่มก็รอขึ้นรถ ดูวิวชิลๆมาโผล่หน้า outlet เลย
Outlet ที่นี้อยู่ใกล้ฟูจิมากแบบถ่ายรูปเห็นวิวขุดเจน ตอนรถแล่ยเข้า outlet เราจะเห็นเขาฟูจิทางขวาชัดๆเลยค่ะ พอมาเดิน ร้านที่นี้มีหลายร้อยร้านเป็นแบรนด์เนมทั้งนั้น แถมมีวิวฟูจิให้ถ่ายตลอด
อาหาร น้ำ ขนมมีให้ซื้อตลอดทาง เราหยุดทานข้าวด้วยร้านญี่ปุ่นร้านนี้
มีเครื่องเคียงจานใหญ่มาให้ด้วย น่ารักที่สุด
ทานแล้วเดินต่อ เดินที่นี้ต้องวางแผนการเดินดีๆ เพราะร้านเยอะ เดินไกล เราคงไม่อยากแบกของเดินไปไกลๆ เราเลยวางแผนว่าเดินไปร้านไกลๆก่อนแล้วเดินเข้ามาร้านใกล้ ถ้าจะซื้ออะไรจะได้ไม่ต้องแบกของตั้งแต่ร้านแรกติดตัวเดินไปด้วย เหนื่อยตาย เพราะร้านแรกๆคือ ไนกี้ ซึ่งเราได้ชุดกีฬามาหลาย รองเท้าก็เยอะมาก เรายังได้ชุด jacket ของ coach ซึ่งที่สนามบินสุวรรณภูมิขาย 15000 บาทแต่ที่นี้ขาย 7200 บาท จะเหลือเหรอ สอยซิค่ะ 555 ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าซท้อ ต้องมาเดินเองค่ะ เผื่อเวลาไว้หลายๆชั่วโมงเลยค่ะ เดินไปเหนื่อย หาน้ำทาน ร้านนี้ก็น่ารักดีค่ะ ขายชากาแฟและนมไข่มุก
จบจากที่นี้แล้ว เราเอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อนแล้วออกมาอีกทีค่ะ เย็นนี้เราวางแผนจะไปทานปลาดิบร้านดัง แต่เผอิญเป็นศุกร์เย็นที่ทุกร้านคนทำงานจะออกมาทานกัน ปรากฏว่าเดินไปร้านไหนก็เต็มทุกร้าน จนต้องมาตายรังร้านที่เราเคยมาครั้งก่อนคือ Sushizanmai ซึ่งปลาที่นี้สดมาจากตลาดเลยและมีสาขาด้วยค่ะ เราเกือบจะไม่ได้ที่นั่งแล้ว โชคดีที่ยังพอได้แต่ต้องรอนาน ศุกร์เย็นในโตเกียว จำเป็นต้องจองโต๊ะอย่างมากค่ะ ไม่งั้นจะอดทานของอร่อย
ทานอิ่มแล้วก็กลับห้องนอนได้ 555 วันที่สาม เราวางแผนว่าขอไปทานกาแฟโปรดของเราก่อนคือ การแฟร้านชื่อ Excelsior ร้านนี้กาแฟโปรดที่เราทานประจำคือ Pearl Iced Latte Coffee เป็นกาแฟที่ไม่หวานมากแต่ใส่สาคูหวานนิดๆหอมๆ พอดูดเข้าปาก มันพอดีกันเลย ใครไม่เคยทานต้องลองค่ะ เดี๋ยวนี้สาขามีเยอะมากจริงๆ แถมร้านดูสะอาดขึ้น ไม่เหม็นบุหรี่เหมือนเก่าแล้วด้วย
กาแฟเสร็จก็มาอาหารเช้านะคะ เราเลือกทานอาหารเช้าแบบคนญี่ปุ่นเลย คล้ายทานข้าวต้มบ้านเรานะล่ะ เป็นข้าวกับกับข้าวมาแล้วเราต้องเทน้ำซุปลงข้าว ทานเป็นข้าวต้ม เราว่าชุดที่เป็นปลาดิบในงาบดอร่อยสุด
หลังจากทานเสร็จ เราก็ไปย่านน่ารักๆชื่อ Omotesando กัน ย่านนี้ติดกันฮาราจูกุและใกล้ชิบูย่า เป็นย่านถนนสวย มีตรอกเล็กๆน่ารักๆร้านเต็มไปหมด ใครมาห้ามพลาดย่านนี้นะคะ
เดินสบายๆ อากาศกำลังดีค่ะ ผ่านร้านน่าสนใจคือร้านนี้ คนต่อคิวยาวมากๆๆๆๆ เราเลยได้แต่ซื้อกลับอย่างเดียว
ผ่านมาเจอร้านนีก็น่าสนใจเป็นร้านขายป๊อบคอร์นคล้าย Garette แต่มีหลากรสกว่า
มีรส truffle cheese แปลกและอร่อย salted caramel ก็โอเค เค้าให้เราชิมฟรีด้วยค่ะ
เดินต่อไปเรื่อยๆ เจอร้านช๊อคโกแลต Dars ที่มีขายในซุปเปอร์บ้านเรา แต่ที่นี้มีรสต่างๆมากที่บ้านเราไม่มี ก็ต้องสอยเป็นของฝากนะคะ
เดินไปเดินมา หิวค่ะ ลืมเวลากันเลยเชียวเลยหาร้านใกล้ๆ เจอร้าน Maisen เป็นร้านเก่าแก่ที่ S&P เอาเข้ามาในไทยแล้วค่ะ อันนี้เรามาลองร้าน Original กัน คิวยาวเช่นเคย รอกันไป
พบว่ารสชาติไม่ต่างกันเลยต่ะ แต่ของหวานในชุดดีกว่าเยอะ อิ่มแล้วเดินต่อค่ะ เรามาเจอร้านกาแฟน่าสนใจที่คั่วกาแฟเอองชื่อ Honolulu Coffee กาแฟโอเคนะ คนแน่นร้านมากจริงๆ
มาดูความน่ารักในตรอกซอกซอยย่านนี้กันค่ะ
มันเป็นย่านน่ารักจริงๆ เราเดินกันจนแดดหมด ถนนเปิดไฟสวยมาก
ในย่านนี้มีร้านดังร้านนึงชื่อ Luke's Lobster ขายขนมปัง Lobster เป็นร้านยืนทาน คนต่อคิวยาวมากเช่นกัน หลังๆเราเป็นโรคยอมแห้คิวกันเลยขอถอย 555
เดินไปเจอร้านครัวซองค์ ขายขนมปังฝรั่งเศสโชว์อบขนมกันเห็นๆ
ชื่อยาวมาก อ่านเองเถอะ 555 อร่อยใช้ได้ค่ะ
เดินเสร็จก็จะกลับมาทานอาหารใกล้โรงแรมกันเลยไปร้านที่วันแรกมาแล้วไม่ได้ทาน โต๊ะเต็ม ชื่อ Sushi Midori แต่โต๊ะเต็มมากเช่นเคย ตอนเราไปคิวถึงเลขที่ 283 แต่เรากดคิวได้ 364 เราจะต้องรอคิว 2 ชั่วโมง เลยร้องเพลง ถอยดีกว่ากัน จะทานร้านนี้ต้องมียุทธวิธีคือมาเอาคิวลวงหน้าก่อนค่ะ แล้วไปเที่ยวเล่นค่อยกลับมาทาน แต่เที่ยวนี้มายอมรับว่าไม่ได้มีการบริหารจัดการกันมาดี อย่างว่ามาหลายคน ทุกอย่างแปรปรวน ไม่สามารถจัดการตารางให้เป๊ะเพราะทุกคนล้วนมีความเป็นตัวของตัวเองสูงปรี๊ดดด 555 ทำให้พลาดร้านดีๆไปหลายร้านอย่างน่าเสียดาย คราวหน้ามาคนเดียวจะไม่พลาดแบบนี้อีก สัญญากับตัวเองไว้อย่างนี้นะคะ
พลาดหวังจากร้านนั้นก็ย้ายมาร้านสบายๆหน่อย Itamae แต่คุณภาพปลาสู้ร้านแรกไม่ได้เห็นได้ชัด แต่ก็เอาเถอะ หิวแล้ว และประกาศก้องว่า พอแล้วปลาดิบ ขออย่างอื่นมั่งเถอะ หายใจทางเหงือกแล้วจ๊ะ 555
วันรุ่งขึ้น เราวางแผนพาคนที่ยังไม่เคยไป Tokyo skytree ไปดูซะหน่อย เป็นตึกสูงสุดของโตเกียวยามนี้ เดินชิลๆไม่มีไร เราเคยมาแล้ว ใครยังไม่เคยก็มาซักครั้งนะคะ
มีร้านรวงข้างๆ เราเลยหยุดทานเมล่อน มาญี่ปุ่น สิ่งที่ต้องทานคือ สตรอเบอรี่ และ เมล่อนค่ะ หวานหอมจริงๆ ซื้อมาชิ้นนึงแย่งกินกันใหญ่ สนุกดี
เสร็จแล้วขอไปลองร้านชีสเค้กร้านนึงซึ่งที่ญี่ปุ่นนี้ ชีสอร่อยมาเกือบทุกร้าน ขนาดเราไม่ค่ยชอบชีสเท่าไร ยังชอบเลย ไม่หนักจนเกินไป เบาๆกำลังดี
จบจากนี้เราไปอาซากุซะกันค่ะ เพราะใกล้โตเกียว สกายทรีมากๆ นั่งรถบัสจากที่นี้ไปลงฝั่งตรงข้ามวัดได้เลย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะมาหลายรอบมากแล้ว จากวัดเราไป Tokyo Midtown เพราะที่นั้นมีร้านขนม Ritz Carton อยู่ ใครมีเวลาว่างเยอะหน่อยก็สามารถมาจองโต๊ะนั่งทาน Afternoon tea ที่นี้ได้นะคะ แต่สำคัญต้องจองโต๊ะค่ะและ มี Illumination ติดไฟสวยๆให้ดูด้วยค่ะ ก็ไปซะหน่อยเนอะ สถานที่จัดงานตอนกลางวัน สวยดีนะคะ มีเงาเราพาดถนนด้วย 555
เราเดินเล่นในตึก มีร้านขายของเยอะมาก ร้านอาหารก็เยอะค่ะ หิวและบอกเพื่อนว่าวันนี้ "No fish day" เราเลยมาลองชาบูกัน ที่นี้มีฟาร์มหมูเป็นขอวตัวเอง เลยลองซะหน่อย รสชาติสู้ร้านชาบูร้านดังตรงโอซาก้าไม่ได้ แต่ดีกว่าทานปลาดิบอีกมื้อเนอะ 555 จริงๆเรามีชาบูอีกร้านที่ต้องลองแต่ได้พยายามโทรจองแล้วเต็มทั้งสองวันซึงอีกวันเรากลับแล้ว พลาดร้านดีๆไปอีกร้าน คราวหน้าเจ๊ลุยเดี่ยวแน่นอนค่ะ
ทานเสร็จไปช๊อปปิ้งนิดหน่อย แล้วมานั่งรอเวลาไฟประดับที่ร้านขนมของโรงแรมซึ่งในร้านเต็ม (ตามเคย)เลยต่อรองขอนั่งโต๊ะนอกร้านซึ่งกลายเป็นว่าดีกว่าค่ะ อากาศดี บรรยากาศดีกว่าไปนั่งอยู่ในร้านอีก
ขนมที่สั่งมาเก๋ค่ะเป็นไอศกรีมใส่สตรอเบอรี่แล้วเคลือบด้วย white chocolate ตอนเสริฟ์เอาซอสราสเบอรี่ อุ่นๆมาราด ช๊อคโกแลตละลายเผยให้เห็นข้างใน อร่อยและประทับใจค่ะ
ทานเสร็จเดินมาดูไฟประดับกันค่ะ สวยๆชิลๆไป
เสร็จก็นั่งรถหาร้านปิ้งๆทาน ร้านดังที่ญี่ปุ่นในรายการที่เราเพ่งเล็งมา ล้วนแต่ขายเนื้อเท่านั้น ซึ่งเราไมาทาน เราเลยต้องหาร้านปิ้งๆที่มีเนื้อหมู ซึ่งหายากมากๆ มาเจอร้านนี้ซึ่งอร่อยจนต้องเบิ้ล โชคดีจริงๆ หน้าร้านมีรูปหัวหมูติดเลยค่ะ 555
กลับโรงแรมได้ สบายท้องแล้ว กลับไปทำกาแฟที่โรงแรมทานซะสองแก้วเลย เบาๆ วันสุดท้าย รถจะมารับไปสนามบินตอนบ่ายโมง เราเลยรีบไปทานร้านอิตาเลียนดังซึ่งบังเอิญมาอยู่ตรงหลังโรงแรมเราพอดีชื่อ Cova
อาหารที่สั่งก็ล้วนแต่เป็นเส้นๆ แต่เราว่ารสชาติอ่อนกว่าบ้านเราเยอะ หรือเพราะคนญี่ปุ่นไม่ทานรสเข้มก็ไม่รู้
จบด้วยกาแฟและของหวาน ซึ่งของหวานอร่อยจริงๆ
ระหว่างรอรถมีเวลาเลยเดินไปร้านช๊อคโกแลตดังของที่นี้ แต่เชื้อชาติสเปนชือ Cacao Sampaka ตัวดังที่คนไทยพูดถึงกันตอนนี้คือ Chocalate peppercorn คือเอาเม็ดพริกไทยมาเคลือบช๊อคโกแลตนันเอง ทานแล้วแปลกกๆดี แต่เปรียบเทียบแล้วช๊อคโกแลต Valrhona ของฝรั่งเศสเจ๋งกว่าเยอะ ขอให้ไปลองทานดูกัน
หลังจากจบธุระทั้งหลายก็นั่งรถไปสนามบิน ระหว่างรอเครื่องขึ้นก็สำรวจ lounge สนามบินของ united airline กับ ANA พบว่าของ ANA ของทานดีกว่าเยอะเลย มีมุมบะหมี่ มุมสาเก และของทานดีกว่า เพียบบบ น่าทานมั๊ยค่ะ บะหมี่ในห้องรับรองปู้โดยสาร
ก่อนเช็คอินมีนักข่าวมาออเต็ม นึกว่าจะทำข่าวเรา 555 ที่แท้มีทีมฟุตบอลจากอาเจนติน่ามาค่ะ ผู้โดยสารแตกฮือมาดักหน้าห้องกัน เราเลยแอบถ่ายไว้ด้วยรูปนึงเป็นที่ระทึก แต่ไม่รู้หรอก he ชื่อไร พอดีไม่ดูบอลอะค่ะ
ถือว่าจบทริปอย่างเป็นทางการ เฮ้ออออ! มาถึงจุดที่เรารู้แน่แก่ใจว่าต่อไปนี้จะไปเที่ยวคนเดียวแล้วค่ะ ความเป็นตัวของตัวเองของเรามันสูงเกินกว่าจะไปเที่ยวกับใครๆจริงๆ การเที่ยวสำหรับเราคือการปลดปล่อย การหาประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งเราได้น้อยมากจากการมาเป็นกลุ่ม การไปเที่ยวเป็นกลุ่มก็ดีคือเรามีเพื่อนฮาเฮแต่ผิดวัตถุประสงค์ของเราสำหรับทริปปลายปี คราวหน้าเจอกันที่เชียงใหม่นะคะ
บ๊ายยยยยยยย